ในสังคมไทยยุคปัจจุบัน อุปกรณ์ไฟฟ้าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวันอย่างแยกไม่ออก ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ระบบแอร์คอนดิชั่นนิ่ง ไปจนถึงระบบโซลาร์เซลล์ที่เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น แต่สิ่งที่หลายคนมองข้ามคือความเสี่ยงจากอันตรายทางไฟฟ้าที่แฝงตัวอยู่รอบตัวเรา
จากข้อมูลของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พบว่าในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางไฟฟ้ามากกว่า 300 ราย และบาดเจ็บอีกหลายพันราย ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องความปลอดภัยทางไฟฟ้า
ในฐานะผู้ที่ติดตามแนวโน้มของอุตสาหกรรมพลังงานมาอย่างต่อเนื่อง เราเห็นความจำเป็นที่จะต้องให้ความรู้เรื่องความปลอดภัยทางไฟฟ้าแก่ประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
กลไกการเกิดอันตรายจากไฟฟ้าต่อร่างกายมนุษย์
เพื่อเข้าใจอันตรายทางไฟฟ้าอย่างแท้จริง เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจกลไกการทำงานของไฟฟ้าในร่างกายมนุษย์ก่อน คุณเชื่อไหมว่าร่างกายคนเราเนี่ย ประกอบด้วยน้ำประมาณ 70% ทำให้เป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย จะเกิดการแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน ส่งผลให้เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ได้รับความเสียหาย
ความรุนแรงของการบาดเจ็บจากไฟฟ้าขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 4 ประการ คือ ความแรงของกระแส (Amperage) แรงดันไฟฟ้า (Voltage) ระยะเวลาที่ถูกไฟฟ้า และ เส้นทางที่กระแสไฟฟ้าผ่าน
กระแสไฟฟ้าเพียง 1 มิลลิแอมป์ (mA) มนุษย์จะเริ่มรู้สึกได้ ที่ 5 mA จะเริ่มเจ็บปวด ที่ 10-20 mA กล้ามเนื้อจะหดเกร็งจนไม่สามารถปล่อยมือได้ และที่ 50 mA ขึ้นไป อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหยุดเต้นได้
สิ่งที่น่าตกใจคือ ไฟฟ้าในบ้าน 220 โวลต์ สามารถสร้างกระแสไฟฟ้าที่อันตรายถึงชีวิตได้ หากร่างกายเปียกหรือมีแผลเป็นทางผ่านของกระแสไฟฟ้า
“ไฟช็อต” “ไฟดูด” และ “ไฟรั่ว” คืออะไร สิ่งที่ควรทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
คำศัพท์เกี่ยวกับอันตรายทางไฟฟ้าเหล่านี้มักถูกใช้สับสนในชีวิตประจำวัน เรามักพบการใช้คำเหล่านี้ผิดบริบท การเข้าใจความหมายที่แท้จริงและความแตกต่างจะช่วยให้เราระบุความเสี่ยงและเลือกวิธีป้องกันที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไฟช็อต (Short Circuit)
ไฟช็อต (Short Circuit) คือ ปรากฏการณ์ที่ไฟฟ้าลัดวงจร เกิดจากกระแสไฟฟ้าจากสายไฟเส้นหนึ่งโอนไปยังเส้นอื่นโดยไม่ผ่านอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้การไหลเวียนของไฟฟ้าผิดปกติและมีปริมาณกระแสไฟฟ้าสูงผิดปกติไหลผ่านในทันที เมื่อเกิดไฟช็อต จะมีความร้อนสะสมจนฉนวนของสายไฟชำรุด ก่อให้เกิดประกายไฟและลุกลามเป็นไฟไหม้ได้ ไฟช็อตมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ต่างจากไฟรั่วที่เกิดช้าๆ สัญญาณเตือนของไฟช็อตที่ควรสังเกต ได้แก่ กลิ่นไหม้ ประกายไฟ เสียงดัง หรือการดับของเซอร์กิตเบรกเกอร์
ไฟดูด (Electric Shock)
ไฟดูด (Electric Shock) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายมนุษย์สัมผัสกับกระแสไฟฟ้าโดยตรง ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงร้ายแรงถึงชีวิตได้ ไฟดูดมักเกิดขึ้นเมื่อได้สัมผัสกับแหล่งกำเนิดไฟฟ้าโดยตรง หรือสัมผัสกับวัตถุที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ความรุนแรงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ความแรงของกระแสไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้า ระยะเวลาที่ถูกไฟฟ้า และเส้นทางที่กระแสไฟฟ้าผ่านร่างกาย
ไฟรั่ว (Leakage Current)
ไฟรั่ว (Leakage Current) คือ กระแสไฟฟ้าที่รั่วไหลออกจากวงจรไฟฟ้าปกติผ่านเส้นทางที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ผ่านโครงโลหะ ท่อน้ำ หรือโครงสร้างอาคาร ไฟรั่วมักมีค่ากระแสต่ำ โดยทั่วไปอยู่ในช่วง 1-30 มิลลิแอมป์ ซึ่งอาจไม่ทำให้รู้สึกได้ทันทีเมื่อสัมผัส แต่สามารถสะสมและก่อให้เกิดอันตรายได้ในระยะยาว ทั้งการไฟฟ้าช็อตเมื่อสัมผัสโครงโลหะ การเกิดไฟไหม้จากความร้อนที่สะสม และการสิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น ลักษณะเด่นของไฟรั่วคือ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเงียบเชียบ ทำให้ผู้ใช้งานมักไม่ทราบจนกว่าจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมา

ไฟดูด และ ไฟช็อต แตกต่างกันอย่างไร
หลายคนยังเข้าใจผิดว่าไฟดูดและไฟช็อตเป็นสิ่งเดียวกัน ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองมีความแตกต่างที่สำคัญมาก ไฟช็อต เป็นปัญหาของระบบไฟฟ้าที่เกิดจากการลัดวงจร ในขณะที่ไฟดูดเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับร่างกายมนุษย์
ความแตกต่างหลักคือ ไฟช็อตส่งผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าและทรัพย์สิน โดยอาจก่อให้เกิดไฟไหม้ ความเสียหายของอุปกรณ์ไฟฟ้า และการดับของระบบป้องกัน ส่วนไฟดูดส่งผลกระทบโดยตรงต่อร่างกายมนุษย์ ตั้งแต่การเจ็บปวดเล็กน้อย ไปจนถึงการเสียชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม ไฟช็อตสามารถนำไปสู่ไฟดูดได้ เช่น เมื่อเกิดไฟช็อตในระบบไฟฟ้า หากมีคนอยู่ใกล้และสัมผัสกับส่วนที่มีกระแสไฟฟ้า ก็อาจถูกไฟดูดตามมาได้ นี่คือเหตุผลที่การป้องกันทั้งสองอย่างจึงมีความสำคัญเท่าเทียมกัน
สำหรับผู้ที่โดนไฟดูด หากกระแสไฟฟ้าสูงก็จะส่งผลทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจอาจหยุดเต้น และเสียชีวิตได้ ระดับความรุนแรงสามารถแบ่งเป็น 5 ระดับ ตั้งแต่การรู้สึกแสบซ่าเล็กน้อยที่กระแส 1-5 มิลลิแอมป์ ไปจนถึงความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตเมื่อกระแสเกิน 50 มิลลิแอมป์
สาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางไฟฟ้าในไทย
จากการศึกษาข้อมูลอุบัติเหตุทางไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างละเอียด พบว่าสาเหตุหลักสามารถจัดกลุ่มได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ โดยแต่ละประเภทมีปัจจัยเสี่ยงที่แตกต่างกัน
การติดตั้งและบำรุงรักษาที่ไม่ถูกต้อง คิดเป็นสัดส่วนสูงสุดที่ 35% ของอุบัติเหตุทั้งหมด สาเหตุย่อยที่สำคัญ ได้แก่ การใช้ช่างไฟฟ้าที่ไม่มีใบอนุญาตหรือขาดประสบการณ์ การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน มอก. หรือมาตรฐานสากล การเดินสายไฟที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม และการบำรุงรักษาที่ไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในสถานประกอบการขนาดเล็กที่มักมองข้ามความสำคัญของการตรวจสอบระบบไฟฟ้าเป็นประจำ
การใช้งานที่ไม่ถูกต้อง คิดเป็น 28% ของสาเหตุทั้งหมด ปัญหาที่พบบ่อย คือ การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง การต่อพ่วงกระแสไฟฟ้าเกินพิกัดที่กำหนด การใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ชำรุดโดยไม่ได้ซ่อมแซม การใช้สายไฟที่ไม่เหมาะสมกับความต้องการใช้งาน และการละเลยคำเตือนด้านความปลอดภัยจากผู้ผลิต
ปัจจัยสิ่งแวดล้อม มีส่วนทำให้เกิดอุบัติเหตุ 22% โดยสาเหตุหลักมาจากฟ้าผ่าในช่วงฤดูฝน น้ำท่วมที่ทำให้ระบบไฟฟ้าเสียหาย สภาพอากาศที่มีความชื้นสูงเป็นเวลานาน การกัดเซาะของเกลือในพื้นที่ใกล้ทะเล และแมลงหรือสัตว์เล็กที่เข้าไปในระบบไฟฟ้า
การขาดระบบป้องกัน คิดเป็น 15% แม้จะเป็นสัดส่วนที่น้อยที่สุด แต่มักก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง ปัญหาที่พบ ได้แก่ การไม่มีเซอร์กิตเบรกเกอร์ที่เหมาะสม การไม่มีระบบกราวด์ที่มีประสิทธิภาพและการไม่มีระบบป้องกันฟ้าผ่า
ผลกระทบจากการอุบัติเหตุไฟช็อต ไฟดูด และ ไฟรั่ว
อุบัติเหตุทางไฟฟ้าส่งผลกระทบในวงกว้าง ไม่เพียงแต่ต่อผู้ประสบภัยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม การทำความเข้าใจผลกระทบเหล่านี้จะช่วยให้เราเห็นความสำคัญของการป้องกันมากขึ้น
ผลกระทบต่อบุคคล เป็นผลกระทบที่รุนแรงและติดตามตัวผู้ประสบภัยไปตลอดชีวิต ผู้ที่เคยถูกไฟดูด มีโอกาสที่จะมีอาการแทรกซ้อนระยะยาว เช่น ปัญหาระบบประสาท การสูญเสียความจำ การเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจ ปัญหาทางจิตใจจากการบาดเจ็บ (PTSD) แผลเป็นจากการไหม้ที่อาจต้องผ่าตัดหลายครั้ง และในบางรายอาจมีปัญหาการมองเห็นหรือการได้ยิน การรักษาผู้ป่วยเหล่านี้ต้องใช้ทีมแพทย์หลายสาขาและระยะเวลาที่ยาวนาน
ผลกระทบต่อทรัพย์สิน การไหม้ของอาคาร เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และทรัพย์สินต่างๆ ภายในอาคาร ความเสียหายจากน้ำที่ใช้ดับเพลิง การเสียหายของระบบไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภคอื่นๆ เช่น ระบบประปา ระบบแก๊ส และระบบสื่อสาร ในกรณีของโรงงานหรือสำนักงาน อาจมีการสูญหายของข้อมูลสำคัญ เครื่องจักร หรือสินค้าคงคลัง
รู้เท่าทัน วิธีป้องกันไฟรั่ว ไฟดูด และไฟช็อต
การป้องกันอุบัติเหตุทางไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพต้องเริ่มต้นจากความรู้ความเข้าใจและการปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่ละประเภทของอันตรายมีวิธีการป้องกันที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งหากเราเข้าใจและนำไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จะสามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ
การป้องกันไฟรั่ว เริ่มต้นจากการติดตั้งเซอร์กิตเบรกเกอร์และ RCBO ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน อุปกรณ์เหล่านี้สามารถตรวจจับไฟรั่วได้ตั้งแต่ระดับต่ำและตัดกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติ การตรวจสอบสายไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นประจำ โดยเฉพาะบริเวณที่มีความชื้น เช่น ห้องครัว ห้องน้ำ และพื้นที่กลางแจ้ง การหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในสภาพแวดล้อมที่เปียกหรือมีไอน้ำสูง การจัดให้มีระบบกราวด์ที่มีประสิทธิภาพและตรวจสอบค่าความต้านทานเป็นประจำ และการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลเมื่อทำงานกับระบบไฟฟ้า
การป้องกันไฟช็อต ต้องเริ่มจากการออกแบบและติดตั้งระบบไฟฟ้าให้ถูกต้องตามมาตรฐาน การใช้สายไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับการใช้งาน การหลีกเลี่ยงการต่อพ่วงไฟฟ้าเกินพิกัด การรักษาสายไฟให้อยู่ในสภาพดีและเปลี่ยนเมื่อพบความเสียหาย การติดตั้งระบบป้องกันฟ้าผ่าในพื้นที่เสี่ยง และการตรวจสอบระบบไฟฟ้าโดยช่างผู้เชี่ยวชาญเป็นประจำ
การป้องกันไฟดูด เน้นไปที่การปฏิบัติตัวให้ปลอดภัยเมื่อใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้า การไม่สัมผัสอุปกรณ์ไฟฟ้าด้วยมือเปียกหรือเท้าเปล่า การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น รองเท้าที่มีพื้นฉนวน ถุงมือฉนวน เมื่อทำงานกับไฟฟ้า การปิดไฟหลักก่อนทำการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้า การใช้เครื่องมือที่มีด้ามฉนวน และการหลีกเลี่ยงการทำงานกับระบบไฟฟ้าแรงสูงโดยไม่มีความรู้หรือประสบการณ์เพียงพอ
นอกจากนี้ การศึกษาและฝึกอบรมเรื่องความปลอดภัยทางไฟฟ้าแก่สมาชิกในครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน การจัดเก็บเครื่องมือและอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินไว้ในที่เหมาะสม และการมีแผนฉุกเฉินเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางไฟฟ้า ล้วนเป็นส่วนสำคัญของการป้องกันที่ครอบคลุม
การปฐมพยาบาลผู้ถูกไฟดูดและไฟช็อตตามหลักการแพทย์ที่ถูกต้อง
เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่มีผู้ประสบภัยจากไฟฟ้า การดำเนินการที่ถูกต้องและรวดเร็วสามารถช่วยชีวิตผู้ประสบภัยได้ อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือที่ผิดวิธีอาจทำให้ผู้ช่วยเหลือเองได้รับอันตรายหรือทำให้สถานการณ์แย่ลงได้
ขั้นตอนที่ 1: ประเมินความปลอดภัยและตัดแหล่งไฟฟ้า
เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดและต้องทำก่อนอื่นเสมอ ตัดกระแสไฟฟ้าจากเมนสวิตช์หรือเซอร์กิตเบรกเกอร์ก่อนเข้าใกล้ผู้ประสบภัย หากไม่สามารถตัดไฟได้ทันที ให้ใช้วัสดุฉนวน เช่น ไม้แห้ง แท่งยาง หรือพลาสติกหนา เพื่อแยกผู้ประสบภัยออกจากแหล่งไฟฟ้า สิ่งสำคัญคือ ห้ามใช้มือเปล่าหรือวัตถุที่เป็นโลหะสัมผัสผู้ประสบภัยขณะที่ยังมีไฟฟ้า การประเมินสถานการณ์รอบข้างเพื่อหาอันตรายอื่นๆ เช่น น้ำ ก๊าซ หรือไฟไหม้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
ขั้นตอนที่ 2: ประเมินสภาพและเรียกความช่วยเหลือ
ตรวจสอบการตอบสนอง การหายใจ และชีพจรของผู้ประสบภัย หากผู้ประสบภัยไม่ได้สติ ไม่หายใจ หรือไม่มีชีพจร ให้โทรเรียกรถพยาบาลหรือหมายเลข 1669 ทันที และเริ่มการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) หากมีความรู้ การแจ้งข้อมูลที่ชัดเจนแก่เจ้าหน้าที่การแพทย์ เช่น สาเหตุของอุบัติเหตุ ระยะเวลาที่ประมาณได้ และอาการที่สังเกตได้ จะช่วยให้การช่วยเหลือมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขั้นตอนที่ 3: การดูแลบาดแผลและอาการ
หากมีบาดแผลไหม้จากไฟฟ้า ให้ล้างด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช้น้ำแข็งหรือน้ำร้อน ปิดแผลด้วยผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซที่ไม่ติดแผล ห้ามใช้สำลีหรือวัสดุที่อาจติดแผล การรักษาอาการช็อกโดยการยกขาสูงกว่าระดับหัวใจ (หากไม่สงสัยว่ามีกระดูกหัก) การให้ความอบอุ่นและปลอบใจผู้ประสบภัยเพื่อลดความกังวล
ขั้นตอนที่ 4: การนำส่งโรงพยาบาล
แม้ว่าผู้ประสบภัยจะดูเหมือนมีอาการไม่รุนแรง แต่ควรนำส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง เช่น การเสียหายของหัวใจ ปอด หรือระบบประสาท ระหว่างการขนส่ง ให้เฝ้าระวังสัญญาณชีพและอาการผิดปกติ หากผู้ประสบภัยหยุดหายใจหรือไม่มีชีพจร ให้เริ่ม CPR ทันที
สิ่งที่ไม่ควรทำ รวมถึงการใช้น้ำมันหรือยาสีฟันทาแผลไหม้ การให้น้ำหรืออาหารแก่ผู้ประสบภัยที่ไม่ได้สติหรือมีอาการคลื่นไส้อาเจียน การเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยอย่างหนักหากสงสัยว่ามีการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังหรือคอ การใช้วิธีการรักษาพื้นบ้านที่ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ และการปล่อยให้ผู้ประสบภัยอยู่คนเดียวแม้จะดูเหมือนหายดีแล้ว
ใช้ไฟฟ้าได้อย่างมั่นใจ ด้วยมาตรฐานการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เพื่อความปลอดภัยสูงสุดจาก Powervault
PowerVault ในฐานะผู้นำด้านการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ที่มีประสบการณ์กว่า 700 โครงการทั่วประเทศไทย ตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการติดตั้งในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ตั้งแต่อาคารสำนักงานในเขตเมือง โรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงรีสอร์ทในพื้นที่ชายทะเล PowerVault ได้พัฒนาและนำเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ล้ำสมัยมาใช้ในทุกโครงการ
ทีมงานสามารถตรวจสอบสถานะของระบบและให้คำแนะนำหรือส่งช่างไปแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว การบริการหลังการขายที่ครอบคลุมนี้ช่วยให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าการลงทุนในระบบโซลาร์เซลล์จะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมตลอดอายุการใช้งาน
การติดตั้งโซลาร์เซลล์ ไม่เพียงแต่ประหยัดพลังงานได้เท่านั้น แต่ยังต้องปลอดภัยในทุกการใช้งาน ปรึกษา Powervault เพื่อ Mega Energy Solution ที่ปลอดภัยและยั่งยื่นได้แล้ววันนี้ คลิกเลย!
ความปลอดภัยทางไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม เป็นเรื่องของชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนในสังคม การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับไฟรั่ว ไฟช็อต และไฟดูด รวมถึงการเลือกใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก จะช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

